ฝังยาคุมกำเนิด 3ปี และ 5 ปี ข้อมูลเพื่อฝัง

ฝังยาคุมกำเนิดคืออะไร

ฝังยาคุมกำเนิด คือ การใส่แท่งยาคุมไว้ในผิวหนัง ห่างจากข้อพับแขนขึ้นมาประมาณ 8 – 10 ซม. ฝังใต้ท้องแขนด้านที่ใช้งานน้อยหรือข้างที่ไม่ถนัด ภายในแท่งยาคุมมีการบรรจุฮอร์โมนโปรเจสตาเจนหรือฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล

“หมอเคยทำเคสฝังยาคุมแบบ 3 ปีครั้งแรกตอนปี 2560 คนไข้เข้ามารับบริการขณะที่เป็นประจำเดือนอยู่ จึงต้องมีการให้คำปรึกษาว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง คนไข้มีความเชื่อมั่นจึงตกลงฝังยาคุมแบบ 3 ปี หมอฝังยาคุมเสร็จภายใน 10 นาที หลังจากนัดติดตามอาการ แผลแห้งดี ไม่มีรอยบวมหรือฟกช้ำ

หมอมีประสบการณ์ในการฝังยาคุมทั้งแบบ 3 ปี และ 5 ปีมาอย่างยาวนาน คนไข้ที่ได้รับบริการต่างให้ความไว้วางใจและและมั่นใจในฝีมือหมอค่ะ”

– แพทย์หญิงอรอุมา เพียรผล 
แพทย์ประจำอินทัชเมดิแคร์คลินิก –

ขอบคุณรีวิวฝังยาคุมกำเนิดจากลูกค้า

ขอบคุณรีวิวฝังยาคุมกำเนิดจากลูกค้า

กลไกการทำงานของยาคุมกำเนิดแบบฝัง

1. ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวขึ้นหรือข้นขึ้นมากกว่าปกติ อสุจิฝ่ายชายมีโอกาสผ่านเข้าไปได้ยากมากขึ้น
2. หากอสุจิหลุดเข้าไป มีผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ทำให้เกิดภาวะไม่เหมาะสมในการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว
3. ป้องกันหรือยับยั้งการตกไข่

1. ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 3 ปี (1 แท่ง)

ยาคุมฝังแบบ 3 ปี ยี่ห้อที่นิยมคือ Implanon (อิมพลานอน) ประกอบด้วยแท่งยา 1 แท่ง ขนาดประมาณ 2 x 40 มิลลิเมตร มียาอีโทโนเจสตริลขนาด 68 มิลลิกรัม ยาฝังจะปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 60 – 70 ไมโครกรัมในสัปดาห์ที่ 5 – 6 

และในช่วงท้ายของปีแรกจะลดลงเหลือ 35 – 45 ไมโครกรัมต่อวัน ในช่วงท้ายปีที่ 2 จะลดลงเหลือประมาณ 35 – 45 ไมโครกรัมต่อวัน และในช่วงท้ายของปีที่3 จะลดลงเหลือ 25 – 30 ไมโครกรัมต่อวัน สามารถช่วยคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี

2. ฝังยาคุมกำเนิดแบบ 5 ปี (2 แท่ง)

ยาคุมฝังแบบ 5 ปี เช่น ยี่ห้อ Jadelle (จาเดลล์) มักได้รับความนิยม ประกอบด้วยแท่งยาที่บางและยืดหยุ่นได้จํานวน 2 แท่ง ขนาดประมาณ 2.5 x 43 มิลลิเมตร แต่ละแท่งจะมีฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล 75 มก.  ยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรลออกมาในปริมาณ วันละ 40 – 100 ไมโครกรัม

ช่วงแรกจะปล่อยฮอร์โมนออกมาสูงแล้วค่อยๆ ลดลงจนคงที่ ออกฤทธิ์นาน มีประสิทธิผลนานถึง 5 ปี (ฮอร์โมนชนิดนี้เป็นหนึ่งในตัวยาสําคัญของยาคุมชนิดเม็ดหลายยี่ห้อในท้องตลาด) ออกฤทธิ์ทันทีที่ฝั่งยาคุมเข้าใต้ผิวหนัง

“เคสนี้เป็นผู้ป่วยที่เคยฝังยาคุมเกินกำหนดมาหลายปี ต้องการถอดและฝังใหม่ หมอคลำพบหลอดยาฝังบริเวณท้องแขน จึงดำเนินการถอดออก ซึ่งใช้เวลาหลายนาทีเนื่องจากมีพังผืดเกาะแน่นรอบหลอดยา

หลังจากถอดได้สำเร็จ จึงฝังยาคุมแบบ 3 ปีให้ใหม่ทันที (คนไข้อยู่ในช่วงมีประจำเดือนวันที่ 2 ซึ่งเหมาะสมกับการเริ่มใช้ยาคุม) เมื่อมาติดตามอาการหลังทำ 7 วัน พบว่าแผลแห้งดี ไม่มีรอยช้ำ คนไข้สบายใจและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ค่ะ”

– แพทย์หญิงอรอุมา เพียรผล 
แพทย์ประจำอินทัชเมดิแคร์คลินิก –

ขอบคุณรีวิวฝังยาคุมกำเนิดจากลูกค้า

ขอบคุณรีวิวฝังยาคุมกำเนิดจากลูกค้า

ฝังยาคุมช่วงเวลาไหนเหมาะสมที่สุด

สูติแพทย์แนะนำว่าควรฝังภายใน 1 – 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือภายหลังการแท้งลูกไม่เกิน 1 อาทิตย์ หรือหลังการคลอดไม่เกิน 4 – 6 สัปดาห์

หากฝั่งยาคุมนอกจากช่วงเวลาข้างต้นต้องตรวจการครรภ์ทุกครั้ง (ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย)

ฝังยาคุมแล้วมีเพศสัมพันธ์ได้ตอนไหน

ฝังยาคุมแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ค่ะ! แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ควรรู้ดังนี้นะคะ

1. ถ้าฝังในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาจะออกฤทธิ์ทันที สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เลย ไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเสริม
2. ถ้าฝังนอกช่วง 5 วันแรกของประจำเดือน ยาอาจยังไม่ออกฤทธิ์เต็มที่ แนะนำให้ งดมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยาง อย่างน้อย 7 วันหลังฝัง เพื่อให้ฮอร์โมนเริ่มออกฤทธิ์เต็มที่ก่อน

• การออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดแบบฝัง ถ้าฝังยาภายใน 5 วันนับจากวันแรกที่มีประจำเดือน ยาจะเริ่มป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที ถ้าฝังในวันอื่นที่ไม่ใช่ช่วงมีประจำเดือน ต้องรอให้ยาออกฤทธิ์ประมาณ 7 วัน จึงจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้เต็มที่

• โรคหรือภาวะที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฝัง ได้แก่ โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) ,โรคซึมเศร้ารุนแรง (ยารักษาอาจมีผลต่อยาฝัง) ,ไมเกรน ,ความดันโลหิตสูง ,โรคหัวใจ ,โรคหลอดเลือดสมอง ,โรคดีซ่าน

• คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้แทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ โดยมีเพียง 2% ในช่วงระหว่างขั้นตอนฝั่งยาคุมอาจเกิดการติดเชื้อได้ (แต่นับว่าน้อยถึงน้อยมาก) ถ้าเกิดขึ้นจริงก็รักษาไม่ยุ่งยากด้วยการทำความสะอาดและใช้ยาบรรเทาอาการติดเชื้อ